วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

เจาะจงความบกพร่องการเรียนรู้

ความบกพร่องทางการเรียนรู้ [Learning Disabilities=L.D.]
เรียบเรียงโดย
ดร. ศรินทร วิทยะศิรินันท์
ปัจจุบันยังไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนและ เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างสำหรับคำว่าบกพร่องทางการเรียนรู้ [learning disabilities] เนื่องจากการที่ธรรมชาติของศาสตร์สาขาต่างๆที่เกี่ยวนั้นมีความหลากหลายมาก และด้วยเหตุนี้จึงมีคำจำกัดความของคำนี้ไม่ต่ำกว่า 12แบบปรากฏอยู่ในตำราต่างๆ
คำจำกัดความเหล่านี้มีประเด็นตรงกันอยู่บางส่วนดังนี้
1. คนที่เป็น LD.มีความยากลำบาก ปัจจุบันยังไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางสำหรับคำว่าความบกพร่องทางการเรียนรู้[Learning Disabilities] เนื่องมาจากการที่ธรรมชาติของศาสตร์สาขาต่างๆที่เกี่ยวข้องนั้นมีความหลากหลายมาก และด้วยเหตุนี้จึงมีคำจำกัดความของคำนี้ไม่ต่ำกว่า 12 แบบปรากฏอยู่ในตำราต่างๆในเรื่องสัมฤทธิ์ผลและการพัฒนาด้านการเรียนวิชาการ มีความขัดแย้งระหว่างศักยภาพในการเรียนรู้ของเขากับสิ่งที่บุคคลนั้นเรียนรู้ได้จริง
2. คนที่เป็น LD. มีพัฒนาการด้านต่างๆ ไม่สอดคล้องกัน (พัฒนาการทางภาษา, พัฒนาการทางร่างกาย, พัฒนาการทางการเรียนรู้ทางวิชาการ, และ/หรือพัฒนาการทางการรับรู้)
3. ปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดมาจากการขาดโอกาสที่จะได้รับสิ่งแวดล้อมช่วยส่งเสริมหรือกระตุ้นพัฒนาการในวัยเด็ก
4. ปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดมาจากภาวะปัญญาอ่อนหรือการมีความบกพร่องทางการอารมณ์
อะไรคือสาเหตุของการเป็น LD.
ในปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของการเป็น LD.ยังมีน้อยมาก อย่างไรก็ตามได้มีการค้นพบข้อสังเกตโดยทั่วไปมีดังนี้
- เด็กบางคนพัฒนาและมีวุฒิภาวะในอัตราที่ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ดังนั้นเด็กเหล่านี้จึงไม่สามารถทำงานในชั้นเรียนที่ได้รับมอบหมายได้ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ประเภทนี้ว่า “ช่องว่างทางวุฒิภาวะ” [maturation lag]
- เด็กบางคนมีการเห็นและการได้ยินเป็นปกติ แต่ตีความภาพและเสียงที่ได้ยินในชีวิตประจำวันผิดพลาดเนื่องจากความบกพร่องบางอย่างในระบบประสาทส่วนกลางซึ่งยังไม่สามารถอธิบายได้
- การได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงก่อนคลอดหรือในช่วงต้นๆ ของชีวิตอาจเป็นสาเหตุของปัญหาการเรียนรู้บางอย่างได้
- เด็กที่เกิดก่อนกำหนดและเด็กที่มีปัญหาทางการแพทย์ในช่วงหลังคลอดหรือวัยทารกก็อาจเป็น LD. ได้
- ความบกพร่องทางการเรียนรู้ดูจะพบต่อเนื่องในครอบครัวหรือตระกูลเดียวกัน ความบกพร่องทางการเรียนรู้บางอย่างจึงอาจเป็นกรรมพันธุ์ก็ได้
- ความบกพร่องทางการเรียนรู้พบมากในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเพราะเด็กชายมีแนวโน้มที่จะมีวุฒิภาวะช้ากว่าเด็กหญิง
- มีการพบว่าความบกพร่องทางการเรียนรู้บางอย่างสัมพันธ์กับการสะกดคำ การออกเสียงและโครงสร้างที่ไม่เป็นระบบของภาษา
มีอะไรบ้างที่เป็นสัญญาณตือนว่าเด็กคนนี้อาจเป็น LD.
เด็กที่เป็นLD. มีลักษณะต่างๆที่หลากหลายมาก ได้แก่ ปัญหาการอ่าน คณิตศาสตร์ ความเข้าใจ ภาษา การเขียน หรือ ความบกพร่องทางการเรียนรู้มักจะกระทบต่อด้านต่างๆ 5 ด้าน ดังนี้
1. ภาษาพูด: มีความล่าช้า, บกพร่อง, และผิดพลาดในการฟังและการพูด
2. ภาษาเขียน: มีความยากลำบากในการอ่าน, การเขียน และ การสะกดคำ
3. เลขคณิต: มีความยากลำบากในการคำนวณ หรือการเข้าใจหลักการพื้นฐานของการคำนวณ
4. การใช้เหตุผล: มีความยากลำบากในการจัดระบบ ประมวลและผสมผสานความคิดความรู้ของตนเองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
5. ความจำ: มีความยากลำบากในการจดจำข้อมูลและคำสั่งต่างๆ
อาการที่มักสัมพันธ์กับความบกพร่องทางการเรียนรู้
ได้แก่
· ทำข้อสอบที่นั่งทำพร้อมกันทั้งชั้นไม่ได้ดี
· ไม่สามารถแยกแยะขนาด รูปร่าง และ สี
· มีความลำบากในการทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับเวลา
· มีการรับรู้เกี่ยวกับส่วนต่างๆของร่างกายที่ผิดพลาด
· รับรู้สลับทิศทาง เช่น ซ้ายเป็นขวา หรือ บนเป็นล่าง ในการอ่านเขียน
· การเคลื่อนไหวมักเงอะงะ ซุ่มซ่าม
· การประสานสัมพันธ์ระหว่างตา-มือไม่ดี
· อยู่ไม่นิ่ง
· มีความยากลำบากในการคัดลอกตามแบบที่ให้
· ทำงานเสร็จช้ามาก
· ขาดทักษะการจัดระบบข้อมูล หรือการจัดการต่างๆ
· สับสนได้ง่ายกับคำสั่งที่ได้รับ
· มีความยากลำบากในการใช้เหตุผลในเรื่องที่เป็นนามธรรม และ/หรือ การแก้ปัญหาที่เป็นนามธรรม
· การคิดที่ไม่เป็นระบบ
· มักหมกมุ่นอยู่กับเรื่อง หรือความคิดบางอย่างมากเกินไป
· ความจำระยะสั้นหรือระยะยาวไม่ดี
· ผลีผลาม ขาดการคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนลงมือกระทำการใดๆ
· มีความอดกลั้นต่ำต่อความไม่ถูกใจ ความคับข้องใจต่างๆ
· เคลื่อนไหวมากผิดปกติระหว่างหลับ
· ความสัมพันธ์กับเพื่อนไม่ดี
· ตื่นเต้นจนเกินเหตุในระหว่างการเล่นร่วมกับกลุ่มเพื่อน
· มีการตัดสินใจทางสังคมที่ไม่เหมาะกับวัย เช่น พัฒนาการทางการใช้กล้ามเนื้อ พัฒนาการทางภาษา
· มักมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
· ไม่สามารถตระหนักถึงผลที่เกิดจากการกระทำของตน
· เชื่อคนง่ายเกินไป ถูกเพื่อนฝูงชักจูงได้ง่าย
· อารมณ์และการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆแปรปรวนจนเกินควร
· ปรับตัวต่อการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ๆได้ยาก
· วอกแวกง่ายมาก จดจ่อในงานได้ยาก
· มีความยากลำบากในการตัดสินใจ
· ไม่ชัดเจนว่าถนัดมือไหนกันแน่ หรือใช้ได้ทั้งสองมือ
· มีความยากลำบากในการทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับการจัด หรือเรียงลำดับต่างๆ
ในการพิจารณาอาการข้างต้นนี้ ควรนึกถึงประเด็นต่อไปนี้อยู่ด้วยเสมอ
นั่นคือ
-ไม่มีใครมีอาการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ในเพียงคนเดียว
-ในหมู่คนที่เป็นLD.ด้วยกันนั้น อาการบางอาการก็พบบ่อยกว่าอาการอื่น
-คนทั่วไปทุกๆคนก็มีอาการข้างต้นสัก2-3ข้อ ในระดับหนึ่งเป็นธรรมดา
-จำนวนอาการที่พบในเด็กแต่ละคนไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่า ความบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กผู้นั้นจะรุนแรงหรือมีเพียงเล็กน้อย สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าพฤติกรรมนั้นเป็นอย่างต่อเนื่องและพบร่วมกันเป็นกลุ่มของอาการหรือไม่ต่างหาก
ผู้ปกครองควรทำอย่างไรถ้าสงสัยว่าลูกหลานเป็นLD.
ผู้ปกครองควรติดต่อโรงเรียนของลูกและขอให้มีการทดสอบและประเมินเด็ก หากผลการทดสอบบ่งชี้ว่า เด็กจำเป็นต้องได้รับบริการการศึกษาพิเศษ คณะทำงานด้านการประเมินของทางโรงเรียน (ซึ่งทำหน้าที่วางแผนและกำหนดชั้นเรียนให้แก่เด็ก) จะประชุมกันเพื่อพัฒนาแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล(IEP) ที่ตอบสนองความต้องการของเด็ก ใน IEP จะมีรายละเอียดของแผนการศึกษาที่มุ่งซ่อมเสริมและทดแทนส่วนที่บกพร่องของเด็ก
ในขณะเดียวกัน ผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบแพทย์เด็กประจำครอบครัวเพื่อรับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เด็กควรได้รับการตรวจร่างกายเพื่อค้นหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาในชั้นเรียนซึ่งอาจแก้ไขให้ปกติได้ เช่น สายตาสั้น การได้ยินบกพร่อง เป็นต้น
การเป็น LD. มีผลกระทบต่อผู้ปกครองของเด็กอย่างไร
ผลงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ปฏิกิริยาของผู้ปกครองต่อผลการวิจัยว่าเด็กเป็น LD. นั้นรุนแรงเด่นชัดกว่า การที่เด็กมีความบกพร่องด้านอื่นๆ โปรดนึกถึงเด็กที่ปัญญาอ่อนระดับรุนแรง หรือ พิการทางร่างกาย ผู้ปกครองจะเริ่มตระหนักถึงปัญหาตั้งแต่ภายในสัปดาห์แรกๆที่ทารกเกิดมา อย่างไรก็ตาม พัฒนาการในวัยอนุบาลของเด็กที่เป็น LD. นั้นมักไม่แน่นอน และผู้ปกครองมักจะไม่ค่อยได้รู้สึกว่าเด็กมีปัญหา เมื่อได้รับการแจ้งว่าเด็กมีปัญหาจากทางโรงเรียนในระดับประถม ปฏิกิริยาอันดับแรกของผู้ปกครองโดยทั่วไปคือ การปฏิเสธว่าเด็กไม่ได้มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ แน่นอนว่าการปฏิเสธเช่นนี้ไม่ส่งผลดีแก่เด็กเลย พ่อมักจะมีแนวโน้มที่จะคงอยู่ในขั้นปฏิเสธนี้เป็นเวลานาน เพราะพ่อมักจะไม่ค่อยได้เข้าเกี่ยวข้องกับความคับข้องใจและความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่ทุกวันในชีวิตประจำวันของเด็ก
Eleanor Whitehead อธิบายว่าผู้ปกครองของเด็กที่เป็น LD. มักจะต้องผ่านขั้นตอนทางอารมณ์ต่างๆ ก่อนจะยอมรับเด็กได้อย่างแท้จริง ขั้นตอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำนายได้แน่นอน ผู้ปกครองแต่ละคนเปลี่ยนจากขั้นตอนหนึ่งไปอีกขั้นตอนอย่างไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ผู้ปกครองบางคนอาจข้ามขั้นตอนบางขั้นตอนไป ขณะที่บางคนก็คงอยู่ในขั้นนั้นเป็นเวลานานมาก ขั้นตอนเหล่านี้ได้แก่
*การปฏิเสธความจริง(Denial) : “ลูกไม่ได้มีอะไรผิดปกติสักหน่อย” “เล็กๆฉันก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน-ไม่ต้องห่วงหรอก!แล้วพอโตเขาก็หายเองแหละ”
*การกล่าวโทษ(blame) : “คุณโอ๋แกมากเกินไป!” “คุณตั้งความหวังกับแกสูงเกินไป” “ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถ่ายทอดมาจากตระกูลผมแน่ๆ”
*การหวาดหลัว(fear) : บางทีเขาอาจไม่ได้บอกปัญหาที่แท้จริงกับเราก็ได้!” “มันแย่กว่าที่เขาบอกหรือเปล่า?” “ลูกจะมีโอกาสแต่งงานหรือเปล่า?” “เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า?” “เขาจะเรียนจบหรือเปล่า?”
*การอิจฉา(envy) : “ทำไมเขาถึงไม่เหมือนพี่น้อง หรือ ลูกพี่ลูกน้องของเขา”
*การคร่ำครวญ (mourning) : “เขาอาจประสบความสำเร็จก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เจ้าความบกพร่องทางการเรียนรู้นี่!”
*การต่อรอง (bargaining) : “รอดูไปจนถึงปีหน้าก่อนแล้วกัน!” “บางทีปัญหานี้อาจค่อยๆดีขึ้นถ้าเราย้ายบ้าน/โรงเรียน หรือถ้าเขาไปเข้าแค้มป์ หรือ..............ฯลฯ
*การโกรธ (anger) : “ครูนี่ไม่รู้อะไรเลย!” “ฉันเกลียดคนแถวนี้, โรงเรียนนี้ ....ครูคนนี้”
*การรู้สึกผิด (guilt) : “แม่ฉันพูดถูก ฉันควรใช้ผ้าอ้อมแบบผ้าเมื่อตอนเขายังเป็นทารก” “ฉันไม่ควรออกไปทำงานเมื่อตอนเขายังไม่ครบขวบเลย” “ ฉันกำลังถูกฟ้าดินลงโทษและผลก็คือลูกของฉันกำลังมีปัญหา”
*การแยกตัวออกจากสังคม(isolation) : “ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเข้าใจและแคร์ลูกของฉัน” “มีแต่ลูกกับแม่เท่านั้นในโลกนี้ ไม่มีใครอีกแล้วที่เข้าใจเรา”
*การวิ่งหาความช่วยเหลือไปเรื่อยๆ (flight) : “ลองวิธีการรักษาแบบใหม่นี้กันเถอะ โตนาฮิว บอกว่ามันได้ผล!” “เราจะไปคลินิกโน้นทีคลินิกนี้ที จนกว่าจะมีใครสักคนบอกในสิ่งที่ฉันอยากได้ยิน”
ในทำนองเดียวกัน แบบแผนของปฏิกิริยาเหล่านี้ก็ไม่แน่นอน ยิ่งพ่อและแม่อยู่ในขั้นตอนที่แตกต่างและขัดแย้งกันในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น การกล่าวโทษ vs. การปฏิเสธ การโกรธ vs. การรู้สึกผิด เป็นต้น บ่อยครั้งเท่าใดสถานการณ์ก็จะเลวร้ายยิ่งขึ้นเท่านั้น สภาพเช่นนี้สามารถทำให้การสื่อสารระหว่างพ่อแม่ลำบากยุ่งยากยิ่งขึ้น
ข่าวดีก็คือ หากได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม เด็กที่เป็นLD.ส่วนใหญ่สามารถพัฒนาไปได้มากทีเดียว มีผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ทั้งที่เป็นทนายความ ผู้บริหารระดับสูง แพทย์ ครู ฯลฯ ผู้ซึ่งมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ แต่สามารถเอาชนะข้อบกพร่องของตนเองได้ และประสบความสำเร็จในชีวิต ในปัจจุบันด้วยการศึกษาพิเศษและอุปกรณ์การสอนที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษต่างๆมากมาย เด็กที่เป็น LD.สามารถได้รับความช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ
รายชื่อคนที่ประสบความสำเร็จทั้งๆที่เป็นLD. ได้แก่ แชร์, ธอมัส เอดิสัน, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, โมซาร์ต, บรูซ เจนเนอร์ และอื่นๆอีกมากมาย
คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองของเด็กที่เป็น LD.
1) หาเวลาที่จะฟังลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (พยายามอย่างจริงจังที่จะเข้าใจลูกได้จริงๆ)
2) แสดงความรักต่อลูกด้งการสัมผัส การกอด การสะกิดสะเกา และการกอดปล้ำกับลูก (เด็กประเภทนี้ต้องการการสัมผัสทางกายมากเป็นพิเศษ)
3) มองหาและส่งเสริมสนับสนุนในสิ่งที่ลูกถนัด สนใจ และมีความสามารถ ช่วยให้ลูกใช้คุณสมบัติ และความสามารถเหล่านั้นเพื่อชดเชยความจำกัดหรือข้อบกพร่องใดๆที่เขามี
4) ให้รางวัลลูกด้วยการชมเชย คำพูดที่น่าชื่นใจ รอยยิ้ม และการตบหลังเบาๆ บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
5) ยอมรับเขาตามที่เขาเป็นจริงๆ และยอมรับศักยภาพที่จะเติบโตและพัฒนาของเขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเมื่อตั้งความคาดหวังและตั้งข้อเรียกร้องจากเขา
6) พยายามดึงให้เขามีส่วนร่วมในการกำหนดกฎระเบียบ กิจวัตรประจำวัน กำหนดการทำกิจกรรมต่างๆ ของครอบครัว
7) บอกให้ลูกรู้เมื่อเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม และอธิบายว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของเขา จากนั้นให้เขาเสนอวิธีการประพฤติตัวที่ยอมรับได้มากกว่านี้
8) ช่วยลูกแก้ไขข้อผิดพลาดของงานที่ทำด้วยการทำให้ดู สาธิตว่าควรจะทำอย่างไร อย่ากระแนะกระแหนลูก!
9) ให้ลูกรับผิดชอบงานบ้านและหน้าที่ในครอบครัวตามสมควร ทุกครั้งที่เป็นไปได้
10) ฝีกให้เขามีค่าขนมแต่เนิ่นๆ เท่าที่จะทำได้ และช่วยเขาวางแผนการใช้จ่ายในวงเงินที่ได้รับนั้น
11) จัดหาของเล่น เกม รวมทั้งจัดโอกาสในการทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูก
12) อ่านนิทาน/นิยายสนุกๆให้ลูกฟัง และ อ่านร่วมกับลูกเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น กระตุ้นให้ลูกถามคำถาม พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านไป เล่าเรื่องที่ฟังหรืออ่านไป และอ่านเรื่องนั้นซ้ำอีกรอบหนึ่ง
13) ช่วยให้ลูกสามารถมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำได้ดีขึ้น โดยลดสิ่งรบกวนต่างๆรอบตัวที่จะดึงความสนใจเขาออกงานให้เหลือน้อยที่สุด เช่น จัดที่นั่งหรืออ่านหนังสือ และเล่นให้โดยเฉพาะ
14) อย่าวิตกจริตกับคะแนนสอบ! เรื่องสำคัญอยู่ที่ลูกกำลังพัฒนาไปตามกำลังของเขา และได้รับรางวัลในการที่เขาทำเช่นนั้นหรือไม่
15) พาลูกไปห้องสมุด และ สนับสนุนให้ลูกเลือกและยืมหนังสือกลับไปอ่านตามความสนใจของเขา ให้เขาได้เล่าถึงเรื่องที่อ่านมาให้คุณฟัง จัดหาหนังสือที่น่าสนใจ และอุปกรณ์การอ่านไว้ในบ้าน
16) ช่วยลูกพัฒนาความรู้สึกนับถือตนเอง และแข่งขันกับตนเอง แทนที่จะไปเทียบตนเองกับคนอื่น
17) ยืนยันหนักแน่นว่าลูกจะต้องให้ความร่วมมือทางสังคมโดยการเล่น การช่วยเหลือและการบริการผู้อื่นในครอบครัว และชุมชน
18) ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก โดยการอ่าน และพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองสนใจ พูดคุยและเล่าถึงสิ่งที่คุณอ่านหรือคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่านอยู่
19) อย่าลังเลที่จะปรึกษาครู หรือ ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆเมื่อคุณรู้สึกต้องการความช่วยเหลือ เพื่อที่คุณจะเข้าจำได้ดียิ่งขึ้นว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อช่วยลูกของคุณให้เรียนรู้ได้
www.autisticthailand.com/sthaiparentscouncil/LD/LDcontent/LDindex.htm

ไม่มีความคิดเห็น: